Cyber Sovereignty

เอกราชทางไซเบอร์ไทย ปัญหาการละเมิดที่ปชช.ควรรู้

ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ: 27 ธันวาคม 2561

ยุค Data-Driven Economy กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ตลอดจนเศรษฐกิจสังคมของประเทศชาติ รัฐจำเป็นต้องเร่งกำหนดนโยบายทางไซเบอร์และยุทธศาสตร์ไซเบอร์ เพื่อกำหนดทิศทางและคุ้มครอง “การรุกรานทางความคิด” ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ปัญหาใหญ่ที่กำลังอุบัติขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก คือ “Cyber Sovereignty” หรือความเป็นเอกราชทางไซเบอร์ของผู้คนในประเทศ รวมไปถึงปัญหาความมั่นคงของชาติ (National Security) ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกละเมิดเรื่อง “Cyber Sovereignty”

เนื่องจากปัญหาดังกล่าวถูกซ่อนอยู่ในการใช้งานอินเทอร์เน็ตและการใช้งานสมาร์ทโฟนในปัจจุบันที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย ทำให้ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย และคลาวด์รายใหญ่ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก มีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ และสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการขาดรายได้ของรัฐบาลของการจัดเก็บภาษีจากยอดเงินในระดับหมื่นล้านบาท โดยรัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บภาษีผู้ให้บริการได้อย่างที่ควรจะเป็น เนื่องจากผู้ให้บริการทำการ Settlement Payment โดยการใช้ Payment Gateway นอกประเทศไทย เป็นต้น

ปัญหาด้าน “Personal Privacy” กำลังกลายเป็นประเด็นใหญ่ในปัจจุบันที่กำลังคืบคลานเข้ามาแบบเงียบๆ และจะหนักว่าปัญหาด้าน “Security” ในอนาคตอันใกล้นี้

ทำให้เกิดหน้าที่ใหม่ที่คนไทยทุกคนต้องปฏิบัติ ต้องคอยหมั่นปรับปรุง “Digital Literacy” ของเราในการใช้งานโซเชียลมีเดีย และสมาร์ทโฟนต่างๆ ให้ “รู้เท่าทัน” เทคโนโลยีที่กำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวของมนุษย์โดยมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งในมุม “เศรษฐศาสตร์” และในมุม “ความมั่นคงของชาติ” ที่รัฐบาลก็จำเป็นต้อง “ตื่นตัว” และ “ระวัง” ให้มากขึ้นกว่าเดิม

ปัจจุบันมีโปรแกรมจับเวลาวัดสถิติการใช้งานสมาร์ทโฟนของเราในชีวิตประจำวันแต่ละวันดังกล่าว ยกตัวอย่าง เช่น โปรแกรมประเภท Screen Time บน Android และ iOS (เวอร์ชัน 12 ขึ้นไป) ซึ่งสามารถตรวจสอบการใช้งานสมาร์ทโฟนของเราว่าใช้เวลาไปกี่ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้เราสามารถบริหารเวลาและลดเวลาในการใช้งานสมาร์ทโฟนในแต่ละวันลง

วิธีการอื่นๆ ในการบริหารเวลาที่ดี เช่น การปิด Notification การไม่ใช้มือถือแทนนาฬิกาปลุก การปิดเครื่องในขณะนอนหลับ หรือปลีกวิเวกจากมือถือบ้างในบางเวลา ตลอดจนการฝึกนิสัยที่ไม่มีมือถือเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เป็นต้น

ทำความรู้จัก 4 ระดับของการวิเคราะห์ข้อมูล “Big Data Analytics”

หลักการวิเคราะห์ข้อมูล “Big Data Analytics” ดังกล่าวมีทฤษฎีที่การ์ทเนอร์ได้เคยวิเคราะห์ไว้ในงานวิจัยว่า มี 4 ขั้นของระดับในการวิเคราะห์ข้อมูล (ดูรูป:The Four Types of Data Analytics (source: Gartner)) ดังนี้

ขั้นที่ 1 What happened? : Descriptive Analytics

ทำให้นักวิเคราะห์สามารถรับรู้ได้ว่า กำลังเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ที่มีผลกระทบและมีนัยยะต่อสิ่งที่กำลังเฝ้าจับตาดูอยู่ สามารถนำมาใช้ในการบริหารจัดการ Security Operation Center (SOC) ดูแลการเฝ้าระวังด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือเฝ้าดู Brand Image/Reputation Risk ในโลกโซเชียลว่ามีผลกระทบอะไร เกิดขึ้นในเชิงบวก หรือเชิงลบต่อสินค้าและบริการ ตลอดจน Brand และชื่อเสียงของบริษัท หรือชื่อเสียงของผู้บริหารระดับสูง

ขั้นที่ 2 Why did it happened? : Diagnostic Analytics

ทำให้นักวิเคราะห์สามารถบอกได้ว่า ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์ในขั้นที่ 1 และที่มาที่ไปของการเกิดเหตุการณ์ ทำให้รับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมและเข้าใจปัญหามากขึ้น

ขั้นที่  3 What will happen? : Predictive Analytics

ทำให้นักวิเคราะห์สามารถทำนายหรือคาดการณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ล่วงหน้า เป็นประโยชน์ต่อองค์กรในการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูง และสามารถสั่งการTake Action ได้ทันท่วงที

ขั้นที่ 4 How to prevent bad thing from happening and to potentialize the good once?: Prescriptive Analytics

เป็นขั้นสูงสุดที่นักวิเคราะห์สามารถป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ และในทางกลับกันสามารถทำให้เกิดเหตุการณ์ที่องค์กรอยากให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อองค์กร เช่น ทำให้ Promotion Campaign มีผลกระทบต่อการเลือกตั้ง มีผลต่อการซื้อขายสินค้าและบริการ ตลอดจนส่งผลกระทบถึงชื่อเสียงขององค์กรและผู้บริหารระดับสูง

เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า ยุคแห่ง“ Data-Driven Economy” กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจสังคมของประเทศชาติ ที่ผู้นำประเทศและรัฐบาลจะอยู่เฉยไม่ได้กับปรากฏการณ์ดังกล่าว

รัฐจำเป็นต้องเร่งกำหนดนโยบายทางไซเบอร์และยุทธศาสตร์ไซเบอร์ “National Cyber Policy and National Cyber Strategy” เพื่อกำหนดทิศทางให้กับประชาชนในประเทศ เพราะปัจจุบันการ “รุกรานทางความคิด” ต่อประชาชนในประเทศมีรูปแบบใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลาดังที่กล่าวมาแล้ว

มาถึงจุดนี้ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุค “Data Economy” ที่ผู้ผลิตและผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่กำลังใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เราช่วยกันใส่เข้าไปในระบบอย่างเต็มที่ เปรียบเสมือนกำลังขุดเจาะน้ำมัน แต่หาใช่บ่อน้ำมันไม่ กลับเป็นบ่อข้อมูลที่ผู้ผลิตและผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่กำลังขุดเจาะกันอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง สมกับคำกล่าวที่ว่า “Data is a new oil of Digital Economy”