Cyber Sovereignty

ความจริงเรื่อง “เอกราชอธิปไตยไซเบอร์” (ตอนจบ)

ตีพิมพ์: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ: 15 เมษายน 2563

ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนควรรับรู้เรื่อง “การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล” ที่เราไม่รู้ตัวบนสมาร์ทโฟน พร้อมเร่งสร้าง“ภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล” เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อการตลาดแบบไฮเทคที่นับวันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหาอธิปไตยไซเบอร์ กับคำว่า “อธิปไตยไซเบอร์” ในมุมหนึ่งหมายถึงการที่รัฐบาลของแต่ละประเทศมีสิทธิเสรีภาพในการบริหารจัดการระบบอินเทอร์เน็ตและการบริการต่างๆ ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตในประเทศของตน

แต่อีกความหมายหนึ่ง คือ เรื่องการที่เราถูกครอบงำทางเทคโนโลยีจากเจ้าของแพลตฟอร์มที่เรานิยมใช้โดยไม่รู้ตัว มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของชาติในระยะยาว

เรื่องใหญ่ที่กำลังอุบัติขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก นั่นก็คือ ปัญหา อธิปไตยไซเบอร์” (Cyber Sovereignty) หรือความเป็นเอกราชทางไซเบอร์ของผู้คนในประเทศ ตลอดจนปัญหาความมั่นคงของชาติ (National Security) ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัวว่า กำลังถูกละเมิดเรื่อง Cyber Sovereignty

เนื่องจากปัญหาดังกล่าวถูกซ่อนอยู่ในการใช้งานอินเทอร์เน็ต และสมาร์ทโฟนในปัจจุบันที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทย ทำให้ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย และคลาวด์รายใหญ่ สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก มีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ และสามารถนำข้อมูลมาใช้ในการตลาดได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงการขาดรายได้ของรัฐบาลต่อการจัดเก็บภาษีจากยอดเงินในระดับหมื่นล้านบาท เนื่องจากผู้ให้บริการทำการ Settlement Payment โดยการใช้ Payment Gateway นอกประเทศไทย เป็นต้น

Personal Privacy จึงกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ในปัจจุบันที่คืบคลานเข้ามาแบบเงียบๆ และปัญหาดังกล่าวจะหนักหนายิ่งว่าปัญหาด้าน “Security”

ในอนาคตอันใกล้นี้ จึงทำให้เกิดหน้าที่ใหม่ที่คนไทยทุกคนต้องปฏิบัติ โดยเราต้องหมั่นปรับปรุง “Digital Literacy” ในการใช้งานโซเชียลมีเดีย และสมาร์ทโฟนต่างๆ ที่ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวันให้ “รู้เท่าทัน” เทคโนโลยีที่กำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวของมนุษย์โดยมนุษย์ด้วยกัน

อีกทั้งในมุม “เศรษฐศาสตร์” และในมุม “ความมั่นคงของชาติ” ที่รัฐบาลก็จำเป็นต้อง “ตื่นตัว” และ “ระวัง” ให้มากขึ้นกว่าเดิม

นอกจากปัญหาด้าน Personal Privacy แล้ว ปัจจุบันมีโปรแกรมจับเวลาวัดสถิติการใช้งานสมาร์ทโฟนของเราในชีวิตประจำวันแต่ละวัน

ตัวอย่าง เช่น โปรแกรมประเภท Screen Time บน Android และ iOS สามารถตรวจสอบการใช้งานสมาร์ทโฟนของเราได้ว่า เราใช้เวลาไปกี่ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้สามารถบริหารเวลาและลดเวลาในการใช้งานสมาร์ทโฟนในแต่ละวันลง

เราอาจใช้วิธีการอื่นๆ ในการบริหารเวลาที่ดีได้ ดังเช่น การปิด Notification การไม่ใช้มือถือแทนนาฬิกาปลุก การปิดเครื่องในขณะนอนหลับ หรือปลีกวิเวกจากมือถือบ้างในบางเวลา ตลอดจนการฝึกนิสัยที่ไม่มีมือถือเราก็ยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เป็นต้น

บทสรุป

ยุคแห่ง “ Data-Driven Economy” กำลังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน ตลอดจนเศรษฐกิจสังคมของประเทศชาติ ที่ผู้นำประเทศและรัฐบาลจะอยู่เฉยไม่ได้กับปรากฏการณ์ดังกล่าว

รัฐจำเป็นต้องเร่งกำหนดนโยบายทางไซเบอร์ และยุทธศาสตร์ทางไซเบอร์ (National Cyber Policy and National Cyber Strategy) เพื่อกำหนดทิศทางให้กับประชาชนในประเทศ เพราะ “การรุกรานทางความคิด” ต่อประชาชนในประเทศเกิดขึ้นตลอดเวลาดังที่กล่าวมาแล้ว

มาถึงจุดนี้เราคงเห็นได้ชัดเจนแล้วว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุค “Data Economy” ที่ผู้ผลิตและผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่กำลังใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เราช่วยกันใส่เข้าไปในระบบอย่างเต็มที่

เปรียบเสมือนกำลังขุดเจาะน้ำมัน แต่หาใช่บ่อน้ำมันไม่ กลับเป็นบ่อข้อมูลที่ผู้ผลิตและผู้ให้บริการยักษ์ใหญ่กำลังขุดเจาะกันอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง สมกับคำกล่าวที่ว่า “Data is a new oil of Digital Economy”

รัฐบาลในทุกประเทศจึงควรตะหนักถึงผลกระทบดังกล่าว และควรรีบทำการ “Educate” ประชาชนให้มี “Digital Literacy” และมี “ภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล” ที่ดี เพื่อที่จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อการตลาดแบบไฮเทคที่นับวันจะส่งผลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และประชาชนต้องตกเป็นเหยื่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เราจึงควรปรับปรุงและทำความเข้าใจเรื่อง “Digital Literacy” และ “Digital Quotient” ให้ถ่องแท้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางไซเบอร์ให้กับตนเอง ครอบครัว องค์กรและประเทศชาติ

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คนไทยควรจะรับรู้ปัญหาเรื่อง “การละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล” ที่พวกเรากำลังเผชิญกันอยู่ตลอดเวลาบนสมาร์ทโฟน โดยที่เราไม่รู้ตัว หรืออาจไม่ทราบถึงกลเม็ดวิธีการที่แยบยลดังกล่าว

ดังนั้น ประเทศไทยและประชาชนชาวไทยควรเข้าใจผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงดังกล่าวในการบริหารจัดการข้อมูล เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและประชาชน ดังที่เห็นตัวอย่างในระดับโลกกันมาแล้ว